1. สเตียรอยด์ (Steriod) !!!
Steroid เป็นสารกลุ่ม Hormone ชนิดหนึ่ง ที่ร่างกายสังเคราะห์ขึ้นมา ในปริมาณเล็กน้อย
เพื่อทำหน้าที่ควบคุมการทำงานต่างๆ ของร่างกายให้เป็นปกติ มีฤทธิ์เป็นยากดภูมิคุ้มกัน
โดยต้องให้แพทย์เป็นผู้สั่งจ่าย และใช้ในปริมานที่กำหนดเท่านั้น
กลไกการทำงาน คือ ยับยั้งการสร้างเม็ดสี Melanin ทำให้ปริมาณเม็ดสีลดลง ส่งผลให้ผิวขาวขึ้นค่ะ
ผลข้างเคียงจากการใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์
คือ ถ้าใช้ผิดวิธีด้วยความเข้มข้นสูง และใช้เป็นระยะเวลายาวนานต่อเนื่อง
อาจเกิดผลข้างเคียงทั้งภายนอกและภายในร่างกาย
เช่น ผดผื่นขึ้นง่าย ผิวหน้าบาง ทำให้มลภาวะสารพิษจากภายนอก เข้าสู่ผิวหนังได้ง่ายขึ้น
2. ปรอท (Murcury)
การใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของปรอท อาจทำให้เกิดการแพ้ได้ทั้งในระยะสั้น ระยะยาว
สามารถซึมผ่านผิวหนัง เก็บสะสม และทำอันตรายจนถึงอวัยวะภายในได้อีกด้วยนะคะ
กลไกการทำงาน คือจะยับยั้งการทำงานของ Enzyme Tyrosinase ในผิว
ทำให้มีการสร้างเม็ดสีลดลง ช่วยให้ผิวขาวขึ้น
นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ Bacteria จึงสามารถลดสิวได้อีกด้วย
ผลข้างเคียงของการใช้ปรอท คือ ทำให้เกิดการแพ้ ผื่นแดง ผิวหน้าดำ เกิดฝ้าถาวร ผิวบางลง
และเมื่อใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดพิษสะสมของสารปรอทในผิวหนัง
และดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ตับ ไตอักเสบ อีกทั้งในสตรีมีครรภ์
ปรอทจะดูดซึมเข้าสู่ร่างกายไปสู่ทารก อาจทำให้เด็กมีสมองพิการหรือปัญญาอ่อนได้อีกด้วยค่ะ
สารปรอท เป็นโลหะหนักอาจทำให้เกิดการระคายเคืองที่ผิวหนังได้ง่าย
เช่นมีอาการร้อนแสบแดง อาจมีผดขึ้นเต็มหน้า แต่สำหรับบางคนที่ไม่มีอาการระคายเคือง
เมื่อใช้ไปนานๆ ผิวหน้าจะบางลงจึงไวต่อแสงแดด และทำให้ผิวหน้าคล้ำดำขึ้น
อาจเกิดเป็นฝ้าถาวรไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ และยังเป็นสาเหตุทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง
ถึงจะหยุดใช้ครีมที่มีสารปรอทแล้วก็ตาม แต่ภายใน 2 สัปดาห์จะพบว่าสิวเม็ดใหญ่
สิวอักเสบกลับรวมพลังกันผุดขึ้นทั่วใบหน้า หรือแม้จะเปลี่ยนครีมบำรุงตัวใหม่
อิทธิฤทธิ์ของมันก็ยังคงอยู่ โดยสิวใต้ผิวหนังจะค่อยๆขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ
จนกว่าร่างกายจะขับสารปรอทนั้นออกไปได้
3. ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone)
เป็นสารเคมีในเครื่องสำอางที่ถูกใช้อย่างแพร่พลาย ในเรื่องการลดฝ้า
แต่ก็มีอันตรายต่อร่างกายเป็นอย่างมาก จึงต้องอยู่ในการควบคุมของแพทย์เท่านั้น
โดยทาง อย. จะกำหนดให้ผสม Hydroquinone ในการรักษาฝ้าไม่เกิน 2% ในสูตรค่ะ
กลไกการทำงาน คือจะยับยั้งการทำงานของ Enzyme Tyrosinase ทำให้เม็ดสีลดลง
ก็จะทำให้ผิวขาวขึ้น ผลข้างเคียง จะมีอาการแสบร้อน ตุ่มแดง ผิวคล้ำมากขึ้น ในบริเวณที่ทา
หากใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจเกิดเป็นฝ้าถาวร เพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังได้
และผู้ที่ได้รับยานี้เกินขนาด ตัวยาอาจถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้เลยค่ะ
ไฮโดรควิโนน ปกติแล้วจะใช้ในการรักษาฝ้าเฉพาะบุคคลตามคำสั่งแพทย์เท่านั้น
แต่กลับมีพ่อค้าแม่ค้าหัวใสนำสรรพคุณของมันมาเป็นจุดขายของครีมเร่งผิวขาว
ด้วยการเพิ่มปริมาณและความเข้มข้น เมื่อใช้ติดต่อกันนานกว่า 6 เดือนร่วมกับกรดวิตามินเอ
ซึ่งมีผลทำให้ผิวขาวและรักษาฝ้า จึงส่งผลให้เนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง
เกิดเป็นฝ้าถาวรสีน้ำเงินอมดำหรือหน้าเทาได้
และหากหยุดใช้ครีมที่มีสารไฮโดรควิโนน ฝ้าที่ขึ้นบนใบหน้าอยู่แล้วก็จะดำหนาขึ้น
และกลายเป็นฝ้าถาวร ต้องใช้เวลาในการรักษานาน และบางรายอาจรักษาไม่หายขาด
คุณอีฟ แนะนำวิธีสังเกตครีมที่มีสารอันตรายปนเปื้อนไว้ว่า
นอกจากการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความน่าเชื่อถือแล้ว ยังจะต้องเป็นคนช่างสังเกต
โดยสามารถพิสูจน์ได้ว่าสารอันตรายแต่ละตัวนั้นเป็นอย่างไร
สารปรอทในครีม ให้สังเกตสี หากครีมนั้นมีสีครีมเข้มถึงอ่อนๆ
และถ้ามองลักษณะเนื้อครีมแล้วเห็นเนื้อครีมไม่นวลเนียน บางส่วนเป็นเม็ดๆขึ้นมาให้เห็น
ก็อาจตั้งข้อสังเกตได้ก่อนว่าน่าจะมีสารปรอทอยู่บ้าง
เช่นเดียวกับไฮโดรควิโนน ซึ่งมีฤทธิ์ในการหยุดเมลานินใต้ผิวหนัง จึงทำให้ผิวขาวอย่างรวดเร็ว
และกลายเป็นสีเทาในที่สุด โดยสามารถสังเกตได้จากสี
ซึ่งครีมที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนนจะมีสีครีมถึงสีน้ำตาลเข้มเกิดขึ้นบริเวณรอบขอบกระปุก
แต่ถ้าต้องการพิสูจน์ให้ชัดเจนมากขึ้น ให้ตักครีมขึ้นมาเล็กน้อยแล้วนำผงซักฟอกละลายน้ำหยดลงไป
หากสีเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ให้สันนิษฐานได้เลยว่ามีสารไฮโดรควิโนนอย่างแน่นอน
ส่วนสเตียรอยด์นั้น อาจจะสังเกตได้ยากสักหน่อย
ต้องส่งตรวจและทดสอบในห้องแลปจึงจะรู้ผลที่แน่ชัด
แต่ถ้ารู้สึกหน้าขาวขึ้นทันทีที่ใช้ หรือสิวหายภายในชั่วข้ามคืน
หรือลองนำครีมตัวนั้นมาทาใต้ท้องแขนแล้วนำเทปใสมาแปะไว้หนึ่งคืน
เมื่อลอกเทปใสแล้วเห็นว่าบริเวณที่ทาครีมกลายเป็นด่างขาว
ก็แสดงว่าในครีมนั้นมีสารสเตียรอยด์เป็นส่วนผสมอยู่
สำหรับสาวๆ ที่มีปัญหาผิวเพราะใช้ครีมผิดแล้วก็อย่าเพิ่งท้อใจ
มาฟังทางแก้ไขอาการข้างเคียงที่เกิดจากสารอันตรายกัน “เราต้องเข้าใจหลักการทำงานของผิว
ซึ่งจะมีกระบวนการผลัดผิวทุกๆ 28 วันและมีกลไกในการขับสารพิษอยู่แล้ว สิว ผดผื่น หรืออาการข้างเคียงอื่นๆ
ย่อมเกิดขึ้นมากน้อยตามปริมาณสารอันตรายและระยะเวลาที่เราใช้ ยิ่งเป็นสารที่ซึมลึกสู่ผิวมากเท่าไร
เซลล์ผิวที่ผลัดขึ้นใหม่ก็จะนำพามันออกมาปรากฏตัวด้วย อีกทั้ง ต้องไม่เพิ่มเติมสารพิษเข้าไปอีก
ด้วยการหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวทันทีที่รู้สึกหรือเกิดผลข้างเคียงนั้น
สิ่งที่ต้องทำถัดมา คือ อดทนไว้ ใจเย็นๆ และปล่อยให้ใบหน้าของเราได้พักอย่างจริงจัง
โดยไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ใดๆหรือเลือกการรักษาแบบผิดวิธี และไม่แต่งหน้าโดยเด็ดขาด
พยายามรักษาความสะอาดของหน้าให้ถูกต้องด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีค่าเป็นกลาง (PH 5.5)
หรือถ้าเป็นคนผิวมันอาจเลือกความเป็นด่างมากขึ้น (PH 4.5 – 5.5) และสำหรับคนที่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารปรอทมาก่อน
ก็สามารถนำไข่ขาวมาพอกหน้าเพื่อช่วยดูดซับสารพิษบ้าง หรือใช้เจลว่านหางจระเข้หรืออะโรเวร่าเพื่อช่วยทำให้ใบหน้าชุมชื้น
ทดแทนการทาครีมได้ และอาจใช้สารละลายสิวเพื่อเข้าไปฆ่าเชื้อโรคสิวที่ผุดขึ้นมาได้บ้าง
ทั้งนี้ตลอดการรักษาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เพื่อไม่มีผลร้ายย้อนกลับมาทำร้ายเราได้อีก”
สุดท้ายขอฝากคำแนะนำสำหรับผู้ที่ยังไม่โดนสารอันตรายทำร้ายผิว
ก็อย่าชะล่าใจกันเพราะอาจมีศัตรูตัวใหม่ที่มีฤทธิ์ร้ายซุกซ่อนอยู่
ทางที่ดีเราควรยึดหลัก “ช้าๆได้พร้าเล่มงาม”
ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยควรมีประสิทธิภาพอย่างค่อยเป็นค่อยไป
และกระบวนการผลิตต้องมีความน่าเชื่อถือ อย่าปล่อยให้คำโฆษณาชวนเชื่อ
เช่น “ขาวไว ทันทีที่ใช้” ยั่วยวนกิเลสจนห้ามใจไม่ไหว
เพราะนั่นคือสัญญาณอันตรายที่จะนำพาคุณไปพบกับหายนะในที่สุด
หน้าที่เข้าชม | 131,744 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 96,393 ครั้ง |
เปิดร้าน | 21 ธ.ค. 2561 |
ร้านค้าอัพเดท | 9 ก.ย. 2568 |